กายภาพบำบัด

อาการเท้าแบน Flat Feet: ปัญหาที่หลายคนมองข้าม แต่ส่งผลต่อสุขภาพระยะยาว

อาการเท้าแบน

อาการเท้าแบน (Flat Feet) หรือที่บางคนเรียกว่า “ฝ่าเท้าไม่มีอุ้ง” หรือ “Fallen Arches” คือภาวะที่ฝ่าเท้าไม่มีส่วนโค้งเว้าตามธรรมชาติเมื่อยืนหรือลงน้ำหนัก กล่าวง่ายๆ คือ เมื่อเรายืน ฝ่าเท้าจะสัมผัสพื้นทั้งหมดแบบเต็มแผ่น ซึ่งแตกต่างจากเท้าปกติที่บริเวณกลางฝ่าเท้าจะยกตัวขึ้นเล็กน้อย ทำให้เกิด “อุ้งเท้า” หรือ “ส่วนโค้งของเท้า” เพื่อช่วยรองรับแรงกระแทก

อาการเท้าแบนและรองเท้าเฉพาะบุคคล
อาการเท้าแบน

หัวข้อ

โครงสร้างของฝ่าเท้าปกติ

โดยปกติแล้ว โครงสร้างของฝ่าเท้า จะมีส่วนเว้าโค้งตรงกลางที่เรียกว่า Medial Longitudinal Arch ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการทรงตัว การเดิน และการวิ่ง อุ้งเท้านี้ทำหน้าที่กระจายแรงกดจากน้ำหนักตัวเมื่อเรายืน เดิน หรือวิ่ง และยังช่วยในการดูดซับแรงกระแทก เพื่อป้องกันแรงสะเทือนจากการเคลื่อนไหวไม่ให้ส่งผลกระทบต่อข้อเท้า เข่า สะโพก และหลัง

เมื่อไม่มีอุ้งเท้า จะเกิดอะไรขึ้น?

สำหรับคนที่มีภาวะเท้าแบน อุ้งเท้าจะยุบลงหรือหายไป ทำให้เวลาเดินหรือยืน ฝ่าเท้าจะสัมผัสพื้นแบบเต็มแผ่น ผลที่ตามมาคือการรับน้ำหนักของร่างกายจะไม่สมดุล การเดินและการเคลื่อนไหวจึงอาจผิดปกติ (เรียกว่า Overpronation) ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดเมื่อยหรือบาดเจ็บตามจุดต่างๆ เช่น:

  • ฝ่าเท้าและส้นเท้า: รู้สึกเจ็บหรือปวดเมื่อยเมื่อลงน้ำหนัก
  • ข้อเท้าและเข่า: ข้อเท้ามักบิดเข้าด้านใน ส่งผลต่อแนวการเดิน และอาจทำให้ข้อเข่าบิดผิดรูป
  • หลังส่วนล่าง: ความผิดปกติของเท้าส่งผลต่อแนวโครงสร้างกระดูกสันหลัง ทำให้ปวดหลังได้

เท้าแบนมีทั้งแบบถาวรและไม่ถาวร

ภาวะเท้าแบนสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ:

1. เท้าแบนแบบยืดหยุ่น (Flexible Flat Feet)

พบได้บ่อยในเด็กหรือวัยรุ่น เป็นลักษณะที่เมื่อไม่ได้ลงน้ำหนักจะมีอุ้งเท้า แต่เมื่อยืนหรือลงน้ำหนัก อุ้งเท้าจะยุบหายไป
โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องรักษา เว้นแต่จะมีอาการปวดหรือส่งผลต่อการเคลื่อนไหว

2. เท้าแบนแบบถาวร (Rigid Flat Feet)

เป็นภาวะที่ฝ่าเท้าไม่มีส่วนโค้งเลย ไม่ว่าจะยืนหรือไม่ยืน พบได้ทั้งในวัยผู้ใหญ่และในผู้ที่มีโรคหรือความผิดปกติทางโครงสร้าง
กรณีนี้ควรได้รับการประเมินจากนักกายภาพบำบัดหรือแพทย์เฉพาะทาง

ทำไมเราจึงควรใส่ใจภาวะเท้าแบน?

แม้ว่าอาการเท้าแบนจะดูเหมือนเรื่องเล็กน้อย แต่ในความจริง สามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว ได้ หากไม่ได้รับการดูแลหรือรักษาอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีอาการปวดเท้าเรื้อรัง ยืนหรือเดินนานแล้วรู้สึกเมื่อยล้า หรือเคลื่อนไหวแล้วไม่คล่องตัว

การตรวจเช็กโครงสร้างเท้า และการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัดจะช่วยให้คุณเข้าใจสาเหตุ และได้รับคำแนะนำในการดูแลหรือปรับพฤติกรรม เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนในอนาคต เช่น อาการปวดเข่า ปวดหลัง หรือภาวะข้อเสื่อม

ลักษณะของคนที่มีเท้าแบน

หากคุณสงสัยว่าตนเองอาจมีภาวะเท้าแบน การสังเกตจากลักษณะภายนอกและอาการร่วมสามารถช่วยประเมินเบื้องต้นได้ โดยทั่วไปคนที่มีเท้าแบนจะมีลักษณะและอาการดังต่อไปนี้:

1. ฝ่าเท้าแบนราบ ไม่มีส่วนเว้า

  • เมื่อยืนเปล่าๆ หรือสังเกตรอยเท้าหลังจากเปียกน้ำ จะเห็นว่าฝ่าเท้าเต็มแผ่น ไม่มีส่วนเว้าตรงกลาง (บริเวณอุ้งเท้า)
  • บางคนอาจเห็นฝ่าเท้าแนบพื้นตลอดเวลาทั้งเดิน ยืน หรือแม้แต่เวลานั่งห้อยขา

2. ข้อเท้าม้วนเข้าด้านใน (Overpronation)

  • ลักษณะเท้าที่แบนมักทำให้ข้อเท้าผิดรูป คือ “เอียงเข้าด้านใน” โดยเฉพาะเวลาเดิน
  • อาจสังเกตได้จากการสึกของรองเท้าที่ด้านในเร็วกว่าด้านอื่น

3. เดินหรือวิ่งผิดท่า (ผิดแนวการเคลื่อนไหว)

  • คนเท้าแบนจะมีแนวการเดินที่ไม่สมดุล เพราะเท้าไม่สามารถรองรับแรงได้อย่างเหมาะสม
  • ส่งผลให้ต้องใช้กล้ามเนื้อส่วนอื่นชดเชย เช่น น่อง เข่า หรือหลัง ทำให้เกิดอาการเมื่อยหรือล้าได้ง่าย

4. มีอาการปวดหรือเมื่อยเท้าเรื้อรัง

  • ปวดที่ส้นเท้า ฝ่าเท้า หรือบริเวณอุ้งเท้า โดยเฉพาะหลังเดินหรือยืนนานๆ
  • อาจมีอาการปวดลามไปยังข้อเท้า เข่า หรือสะโพกได้หากไม่ได้รับการรักษา

5. เหนื่อยง่ายหรือทรงตัวไม่ดีขณะออกกำลังกาย

  • คนเท้าแบนมักมีปัญหาในการออกกำลังกายที่ต้องใช้แรงกระแทก เช่น วิ่ง หรือกระโดด
  • รู้สึกทรงตัวยาก มีอาการล้าขาเร็วผิดปกติ หรือบาดเจ็บบ่อย

สาเหตุของเท้าแบน

เท้าแบนสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งโดยกำเนิดและพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เรามาแยกดูอย่างละเอียดกันครับ:

1. สาเหตุโดยกำเนิด (Genetic or Congenital Flat Feet)

เท้าแบนในเด็กถือว่าเป็นเรื่องปกติในช่วงวัยเติบโต แต่หากโตขึ้นแล้วยังไม่หาย อาจหมายถึงการพัฒนาโครงสร้างฝ่าเท้าไม่สมบูรณ์ เช่น:

  • พันธุกรรม: มีพ่อแม่หรือญาติที่มีเท้าแบน
  • พัฒนาการของกระดูกและเอ็นฝ่าเท้าไม่เต็มที่
  • เด็กที่มีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือข้อต่อหลวม

หมายเหตุ: เท้าแบนในเด็กบางรายอาจหายเองได้ แต่บางรายต้องได้รับการกระตุ้นพัฒนาการหรือทำกายภาพบำบัดเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต

2. สาเหตุที่เกิดขึ้นภายหลัง (Acquired Flat Feet)

ภาวะเท้าแบนที่เกิดขึ้นในช่วงวัยผู้ใหญ่ มักมีสาเหตุดังนี้:

การบาดเจ็บของเส้นเอ็น (เช่น Posterior Tibial Tendon Dysfunction)

  • เส้นเอ็นที่ช่วยพยุงอุ้งเท้าเกิดการฉีกขาด อักเสบ หรือเสื่อม
  • ทำให้อุ้งเท้ายุบลงเมื่อยืนหรือลงน้ำหนัก
  • หากปล่อยไว้นาน อาจทำให้โครงสร้างเท้าบิดผิดรูปอย่างถาวร

น้ำหนักตัวมาก (Obesity)

  • น้ำหนักเกินจะเพิ่มแรงกดบนฝ่าเท้า ทำให้อุ้งเท้ายุบลงตามแรงกดสะสมเรื้อรัง

ใช้รองเท้าไม่เหมาะสม

  • การใส่รองเท้าแฟลตแบบไม่มีการรองรับฝ่าเท้า หรือรองเท้าที่ไม่มีแผ่นเสริมอุ้งเท้าเป็นเวลานาน ส่งผลให้ฝ่าเท้าแบนนานวันเข้า

โรคหรือภาวะทางระบบกล้ามเนื้อ-กระดูก

  • เช่น โรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์ เบาหวาน ที่ส่งผลต่อเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อฝ่าเท้า
  • หรือภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากโรคทางระบบประสาท

อายุที่มากขึ้น

  • เมื่ออายุมากขึ้น เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อที่พยุงอุ้งเท้าเริ่มเสื่อมสภาพตามธรรมชาติ ทำให้โครงสร้างฝ่าเท้าเปลี่ยนแปลง

เช็กตัวเอง: คุณเสี่ยงเป็นคนเท้าแบนหรือไม่?

  • มีคนในครอบครัวเป็นเท้าแบน
  • เดินหรือยืนนานแล้วรู้สึกเมื่อยที่เท้า
  • รองเท้าสึกด้านในมากผิดปกติ
  • เคยบาดเจ็บข้อเท้า หรือมีโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อระบบกล้ามเนื้อ

แนวทางการรักษาอาการเท้าแบน (Flat Feet Treatment)

แม้ว่าอาการเท้าแบนจะดูเป็นปัญหาทั่วไป แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่ดูแล อาจส่งผลกระทบต่อข้อเท้า เข่า สะโพก หรือหลังได้ในระยะยาว ข่าวดีคือ — เท้าแบนสามารถบรรเทา ปรับปรุง และควบคุมได้ด้วยการรักษาที่เหมาะสม โดยเฉพาะถ้าเริ่มดูแลตั้งแต่ระยะแรกๆ

เป้าหมายหลักของการรักษาเท้าแบน:

  • ลดอาการปวดและเมื่อยล้า
  • ปรับโครงสร้างฝ่าเท้าและข้อเท้าให้เหมาะสม
  • ป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น ปวดเข่าหรือหลัง
  • เสริมความแข็งแรงและสมดุลในการเดิน วิ่ง และทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน

1. การทำกายภาพบำบัด (Physical Therapy)

กายภาพบำบัดเป็นวิธีการที่ ปลอดภัย ไม่ต้องผ่าตัด และได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน โดยนักกายภาพบำบัดจะประเมินโครงสร้างฝ่าเท้า ท่าทางการเดิน การลงน้ำหนัก และวางแผนฟื้นฟูเฉพาะบุคคล

เทคนิคที่ใช้ในการทำกายภาพบำบัดเท้าแบน:
Stretching – การยืดกล้ามเนื้อ
  • ยืดกล้ามเนื้อฝ่าเท้า น่อง และเอ็นร้อยหวายที่ตึงเกินไป
  • ลดแรงดึงบริเวณข้อเท้าและเข่า
Strengthening – เสริมความแข็งแรงกล้ามเนื้อ
  • เน้นฝึกกล้ามเนื้อ Tibialis Posterior ซึ่งช่วยพยุงอุ้งเท้า
  • ฝึกกล้ามเนื้อฝ่าเท้าและกล้ามเนื้อรอบข้อเท้าให้ทำงานประสานกัน
Balance Training – ฝึกการทรงตัว
  • ช่วยให้การเดินและลงน้ำหนักเป็นธรรมชาติ
  • ลดการบาดเจ็บจาก Overpronation
Manual Therapy – การจัดกระดูกเท้าและข้อ
  • ช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหว ลดการตึงตัวของข้อเท้า

ที่ Bettermove Clinic เรามีบริการกายภาพบำบัดเฉพาะทางสำหรับเท้าแบนโดยตรง พร้อมอุปกรณ์และเทคโนโลยีช่วยฟื้นฟูครบวงจร

2. การใช้อุปกรณ์เสริม (Orthotics & Insole)

การใส่อุปกรณ์เสริมหรือแผ่นรองอุ้งเท้า (Custom Insoles) ถือเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการของเท้าแบนได้ดี โดยเฉพาะผู้ที่ต้องยืนหรือเดินนานๆ

ประโยชน์ของการใช้ Insole:
  • พยุงอุ้งเท้าให้โค้งตามธรรมชาติ
  • ลดแรงกระแทกที่ส้นเท้าและข้อเข่า
  • ปรับท่าทางการเดินให้สมดุล ลด Overpronation

คำแนะนำ: ควรใช้แผ่นรองอุ้งเท้าที่ออกแบบตามลักษณะเท้าของแต่ละบุคคล (Custom-Made) แทนการใช้ Insole สำเร็จรูป เพราะเท้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน

3. เทคโนโลยีกายภาพบำบัดสมัยใหม่

สำหรับผู้ที่มีอาการเรื้อรังหรือมีอาการอักเสบร่วม เทคโนโลยีทางกายภาพบำบัดช่วยเสริมผลการรักษาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น:

Focused Shockwave Therapy
  • คลื่นกระแทกพลังงานสูงช่วยลดการอักเสบของเส้นเอ็นฝ่าเท้าและข้อเท้า
  • กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
  • เหมาะกับผู้ที่มีอาการเรื้อรัง เช่น ปวดส้นเท้า Plantar Fasciitis
Ultrasound Therapy
  • ใช้คลื่นเสียงกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด บรรเทาอาการปวดเฉียบพลัน
  • ช่วยให้กล้ามเนื้อฝ่าเท้าและข้อเท้าผ่อนคลาย
Dry Needling
  • ปลดล็อกกล้ามเนื้อที่ตึงในฝ่าเท้า น่อง หรือกล้ามเนื้อที่ใช้ชดเชยจากโครงสร้างที่ผิดปกติ
  • ลดอาการปวดจากการใช้งานมากเกินไป

ที่ Bettermove Clinic เราใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ร่วมกับกายภาพบำบัดเพื่อเร่งการฟื้นตัวและลดการพึ่งพายา

4. การดูแลเท้าแบนในเด็ก

ในเด็กเล็ก เท้าแบนอาจหายได้เองเมื่ออายุประมาณ 6–8 ปี แต่หากอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษานักกายภาพบำบัดเพื่อ:

  • ประเมินโครงสร้างเท้า
  • ฝึกกล้ามเนื้อผ่านกิจกรรม เช่น เดินบนทราย, เดินเท้าเปล่า, ฝึกทรงตัว
  • ใช้อุปกรณ์เสริม เช่น Insole เฉพาะบุคคลเพื่อกระตุ้นการสร้างอุ้งเท้า

🧑‍⚕️ 5. การผ่าตัด (ในกรณีจำเป็น)

หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง เดินลำบาก หรือมีภาวะผิดรูปของข้อเท้าอย่างชัดเจน แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัด ซึ่งมีหลายเทคนิค เช่น:

  • การเสริมเอ็นที่เสื่อมหรือขาด
  • การจัดแนวกระดูกใหม่ (Osteotomy)
  • การหลอมข้อเท้า (Fusion) ในกรณีที่มีข้อเสื่อมร่วม

อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดเป็นทางเลือกสุดท้าย ควรเริ่มต้นด้วยการรักษาแบบอนุรักษ์ (Conservative Treatment) ก่อนเสมอ

📝 สรุป: เท้าแบนรักษาได้ เริ่มจากความเข้าใจที่ถูกต้อง

อาการเท้าแบนไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่ดูแล อาจกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่กระทบกับคุณภาพชีวิตอย่างมาก การรักษาด้วยกายภาพบำบัด และการใช้อุปกรณ์เสริมที่เหมาะสมเป็นทางเลือกที่ดีและปลอดภัย โดยเฉพาะเมื่อทำร่วมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย

หากคุณมีอาการปวดฝ่าเท้า ข้อเท้า หรือรู้สึกเมื่อยง่ายขณะเดินหรือยืน อย่าลังเลที่จะ เข้ารับการประเมินจากนักกายภาพบำบัดที่ Bettermove Clinic เพื่อวางแผนการฟื้นฟูแบบเฉพาะบุคคลที่ปลอดภัยและได้ผลจริง

Q1: อาการเท้าแบนสามารถรักษาให้หายขาดได้ไหม?

A: อาการเท้าแบน ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในทุกกรณี โดยเฉพาะหากเป็นเท้าแบนแบบถาวร (Rigid Flat Feet) แต่สามารถควบคุมอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้ด้วยการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง การใส่รองเท้าหรือแผ่นรองที่เหมาะสม รวมถึงการออกกำลังกายเสริมความแข็งแรงของเท้า

✅ ในกรณีของเท้าแบนแบบยืดหยุ่น (Flexible Flat Feet) โดยเฉพาะในเด็ก หากได้รับการดูแลตั้งแต่ต้น มีโอกาสที่โครงสร้างฝ่าเท้าจะพัฒนาได้ดีขึ้นตามธรรมชาติ

Q2: เท้าแบนทำให้ปวดหลังหรือปวดเข่าได้จริงไหม?

A: จริงครับ! เท้าแบนอาจเป็นต้นเหตุของ อาการปวดหลัง ปวดเข่า หรือแม้แต่สะโพก ได้ เพราะโครงสร้างฝ่าเท้าที่ผิดปกติจะส่งผลต่อแนวการเดินและการทรงตัวของร่างกาย ทำให้เกิดแรงกดหรือแรงบิดที่ไม่เหมาะสมในจุดอื่นๆ

🧠 โดยเฉพาะอาการ “Overpronation” ที่พบในคนเท้าแบน จะทำให้ข้อเท้าม้วนเข้าด้านใน ส่งผลต่อแนวกระดูกขาขึ้นไปจนถึงหลัง

Q3: จะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นเท้าแบน?

A: คุณสามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้ง่ายๆ ด้วย วิธี “Wet Foot Test” ดังนี้:

  1. เปียกฝ่าเท้าให้ทั่ว
  2. ยืนบนกระดาษหรือพื้นผิวที่ดูรอยเท้าได้ชัด
  3. สังเกตรอยเท้าที่ปรากฏ:
    • หากเห็นฝ่าเท้าเต็มแผ่น แสดงว่าอาจมีภาวะเท้าแบน
    • ถ้ามีส่วนเว้าตรงกลางแสดงว่าอุ้งเท้าปกติ

🧑‍⚕️ แต่เพื่อความชัดเจน ควรเข้ารับการตรวจประเมินโดยนักกายภาพบำบัดหรือแพทย์เฉพาะทางเพื่อวิเคราะห์โครงสร้างเท้าอย่างละเอียด

Q4: เท้าแบนต้องผ่าตัดหรือไม่?

A: การผ่าตัดไม่ใช่แนวทางแรกในการรักษาเท้าแบนครับ โดยทั่วไปจะเริ่มด้วยการรักษาแบบอนุรักษ์ (Conservative Treatment) เช่น:

  • กายภาพบำบัด
  • การใช้อุปกรณ์เสริม Insole
  • ปรับพฤติกรรม

❗ การผ่าตัดจะพิจารณาเฉพาะในกรณีที่:

  • มีความผิดรูปของข้อเท้าหนักมาก
  • รักษาด้วยวิธีอื่นไม่ดีขึ้น
  • มีความเจ็บปวดรุนแรงต่อเนื่อง
  • มีเส้นเอ็นฉีกขาดหรือเสื่อมถาวร

Q5: คนที่มีเท้าแบนออกกำลังกายได้ไหม?

A: ได้แน่นอนครับ! คนที่มีเท้าแบนสามารถออกกำลังกายได้ แต่ควรเลือกประเภทการออกกำลังกายที่เหมาะสม และใส่อุปกรณ์เสริมที่ช่วยพยุงเท้า เช่น:

  • แผ่นรองอุ้งเท้า (Orthotics)
  • รองเท้าสำหรับผู้มี Overpronation

แนะนำให้ออกกำลังกายที่ไม่เน้นแรงกระแทก เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน โยคะ หรือใช้เครื่อง Elliptical แทนการวิ่งบนพื้นแข็ง

Q6: รองเท้าที่เหมาะกับคนเท้าแบนคือแบบไหน?

A: รองเท้าที่เหมาะกับคนเท้าแบนควรมีคุณสมบัติดังนี้:

  • มีแผ่นรองอุ้งเท้า (Arch Support)
  • พื้นรองเท้านุ่มและดูดซับแรงกระแทกได้ดี
  • พื้นรองเท้าด้านในเรียบ ไม่เอียง
  • ไม่ควรใช้รองเท้าแตะหรือแฟลตที่ไม่มี Support

รองเท้าประเภท “Motion Control” หรือ “Stability Shoes” เหมาะกับคนที่มีภาวะเท้าแบนและ Overpronation

Q7: เด็กที่มีเท้าแบนควรพาไปหาหมอไหม?

A: ถ้าเด็กยังเล็ก (ต่ำกว่า 6 ปี) และไม่มีอาการปวดหรือการเคลื่อนไหวผิดปกติ อาจยังไม่จำเป็นต้องรักษา แต่หากเด็ก:

  • เดินผิดรูป
  • มีอาการปวดเมื่อเดินหรือวิ่ง
  • อุ้งเท้าไม่พัฒนาแม้อายุมากกว่า 7–8 ปี
  • ทรงตัวไม่ดีหรือหกล้มบ่อย

ควรพาไปประเมินโดยนักกายภาพบำบัดเด็กหรือแพทย์เฉพาะทาง เพื่อตรวจโครงสร้างและแนะนำวิธีดูแลพัฒนาอุ้งเท้าอย่างเหมาะสม

สนใจปรึกษาอาการกับนักกายภาพของเรา?

นัดหมายออนไลน์หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ เบทเทอร์มูฟคลินิก คลินิกกายภาพบำบัดใจกลางสาทร

อ่านเพิ่มเติม

Leave a Reply

Discover more from คลินิกกายภาพบำบัดใกล้ฉัน Bettermove Clinic

Subscribe now to keep reading and get access to the full archive.

Continue reading

Schedule Appointment

Fill out the form below, and we will be in touch shortly.

Contact Information
Services
Preferred Date and Time Selection