อาการเท้าแบน (Flat Feet) หรือที่บางคนเรียกว่า “ฝ่าเท้าไม่มีอุ้ง” หรือ “Fallen Arches” คือภาวะที่ฝ่าเท้าไม่มีส่วนโค้งเว้าตามธรรมชาติเมื่อยืนหรือลงน้ำหนัก กล่าวง่ายๆ คือ เมื่อเรายืน ฝ่าเท้าจะสัมผัสพื้นทั้งหมดแบบเต็มแผ่น ซึ่งแตกต่างจากเท้าปกติที่บริเวณกลางฝ่าเท้าจะยกตัวขึ้นเล็กน้อย ทำให้เกิด “อุ้งเท้า” หรือ “ส่วนโค้งของเท้า” เพื่อช่วยรองรับแรงกระแทก

หัวข้อ
โครงสร้างของฝ่าเท้าปกติ
โดยปกติแล้ว โครงสร้างของฝ่าเท้า จะมีส่วนเว้าโค้งตรงกลางที่เรียกว่า Medial Longitudinal Arch ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการทรงตัว การเดิน และการวิ่ง อุ้งเท้านี้ทำหน้าที่กระจายแรงกดจากน้ำหนักตัวเมื่อเรายืน เดิน หรือวิ่ง และยังช่วยในการดูดซับแรงกระแทก เพื่อป้องกันแรงสะเทือนจากการเคลื่อนไหวไม่ให้ส่งผลกระทบต่อข้อเท้า เข่า สะโพก และหลัง
เมื่อไม่มีอุ้งเท้า จะเกิดอะไรขึ้น?
สำหรับคนที่มีภาวะเท้าแบน อุ้งเท้าจะยุบลงหรือหายไป ทำให้เวลาเดินหรือยืน ฝ่าเท้าจะสัมผัสพื้นแบบเต็มแผ่น ผลที่ตามมาคือการรับน้ำหนักของร่างกายจะไม่สมดุล การเดินและการเคลื่อนไหวจึงอาจผิดปกติ (เรียกว่า Overpronation) ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดเมื่อยหรือบาดเจ็บตามจุดต่างๆ เช่น:
- ฝ่าเท้าและส้นเท้า: รู้สึกเจ็บหรือปวดเมื่อยเมื่อลงน้ำหนัก
- ข้อเท้าและเข่า: ข้อเท้ามักบิดเข้าด้านใน ส่งผลต่อแนวการเดิน และอาจทำให้ข้อเข่าบิดผิดรูป
- หลังส่วนล่าง: ความผิดปกติของเท้าส่งผลต่อแนวโครงสร้างกระดูกสันหลัง ทำให้ปวดหลังได้
เท้าแบนมีทั้งแบบถาวรและไม่ถาวร
ภาวะเท้าแบนสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ:
1. เท้าแบนแบบยืดหยุ่น (Flexible Flat Feet)
พบได้บ่อยในเด็กหรือวัยรุ่น เป็นลักษณะที่เมื่อไม่ได้ลงน้ำหนักจะมีอุ้งเท้า แต่เมื่อยืนหรือลงน้ำหนัก อุ้งเท้าจะยุบหายไป
โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องรักษา เว้นแต่จะมีอาการปวดหรือส่งผลต่อการเคลื่อนไหว
2. เท้าแบนแบบถาวร (Rigid Flat Feet)
เป็นภาวะที่ฝ่าเท้าไม่มีส่วนโค้งเลย ไม่ว่าจะยืนหรือไม่ยืน พบได้ทั้งในวัยผู้ใหญ่และในผู้ที่มีโรคหรือความผิดปกติทางโครงสร้าง
กรณีนี้ควรได้รับการประเมินจากนักกายภาพบำบัดหรือแพทย์เฉพาะทาง
ทำไมเราจึงควรใส่ใจภาวะเท้าแบน?
แม้ว่าอาการเท้าแบนจะดูเหมือนเรื่องเล็กน้อย แต่ในความจริง สามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว ได้ หากไม่ได้รับการดูแลหรือรักษาอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีอาการปวดเท้าเรื้อรัง ยืนหรือเดินนานแล้วรู้สึกเมื่อยล้า หรือเคลื่อนไหวแล้วไม่คล่องตัว
การตรวจเช็กโครงสร้างเท้า และการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัดจะช่วยให้คุณเข้าใจสาเหตุ และได้รับคำแนะนำในการดูแลหรือปรับพฤติกรรม เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนในอนาคต เช่น อาการปวดเข่า ปวดหลัง หรือภาวะข้อเสื่อม
ลักษณะของคนที่มีเท้าแบน
หากคุณสงสัยว่าตนเองอาจมีภาวะเท้าแบน การสังเกตจากลักษณะภายนอกและอาการร่วมสามารถช่วยประเมินเบื้องต้นได้ โดยทั่วไปคนที่มีเท้าแบนจะมีลักษณะและอาการดังต่อไปนี้:
1. ฝ่าเท้าแบนราบ ไม่มีส่วนเว้า
- เมื่อยืนเปล่าๆ หรือสังเกตรอยเท้าหลังจากเปียกน้ำ จะเห็นว่าฝ่าเท้าเต็มแผ่น ไม่มีส่วนเว้าตรงกลาง (บริเวณอุ้งเท้า)
- บางคนอาจเห็นฝ่าเท้าแนบพื้นตลอดเวลาทั้งเดิน ยืน หรือแม้แต่เวลานั่งห้อยขา
2. ข้อเท้าม้วนเข้าด้านใน (Overpronation)
- ลักษณะเท้าที่แบนมักทำให้ข้อเท้าผิดรูป คือ “เอียงเข้าด้านใน” โดยเฉพาะเวลาเดิน
- อาจสังเกตได้จากการสึกของรองเท้าที่ด้านในเร็วกว่าด้านอื่น
3. เดินหรือวิ่งผิดท่า (ผิดแนวการเคลื่อนไหว)
- คนเท้าแบนจะมีแนวการเดินที่ไม่สมดุล เพราะเท้าไม่สามารถรองรับแรงได้อย่างเหมาะสม
- ส่งผลให้ต้องใช้กล้ามเนื้อส่วนอื่นชดเชย เช่น น่อง เข่า หรือหลัง ทำให้เกิดอาการเมื่อยหรือล้าได้ง่าย
4. มีอาการปวดหรือเมื่อยเท้าเรื้อรัง
- ปวดที่ส้นเท้า ฝ่าเท้า หรือบริเวณอุ้งเท้า โดยเฉพาะหลังเดินหรือยืนนานๆ
- อาจมีอาการปวดลามไปยังข้อเท้า เข่า หรือสะโพกได้หากไม่ได้รับการรักษา
5. เหนื่อยง่ายหรือทรงตัวไม่ดีขณะออกกำลังกาย
- คนเท้าแบนมักมีปัญหาในการออกกำลังกายที่ต้องใช้แรงกระแทก เช่น วิ่ง หรือกระโดด
- รู้สึกทรงตัวยาก มีอาการล้าขาเร็วผิดปกติ หรือบาดเจ็บบ่อย
สาเหตุของเท้าแบน
เท้าแบนสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งโดยกำเนิดและพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เรามาแยกดูอย่างละเอียดกันครับ:
1. สาเหตุโดยกำเนิด (Genetic or Congenital Flat Feet)
เท้าแบนในเด็กถือว่าเป็นเรื่องปกติในช่วงวัยเติบโต แต่หากโตขึ้นแล้วยังไม่หาย อาจหมายถึงการพัฒนาโครงสร้างฝ่าเท้าไม่สมบูรณ์ เช่น:
- พันธุกรรม: มีพ่อแม่หรือญาติที่มีเท้าแบน
- พัฒนาการของกระดูกและเอ็นฝ่าเท้าไม่เต็มที่
- เด็กที่มีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือข้อต่อหลวม
หมายเหตุ: เท้าแบนในเด็กบางรายอาจหายเองได้ แต่บางรายต้องได้รับการกระตุ้นพัฒนาการหรือทำกายภาพบำบัดเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต
2. สาเหตุที่เกิดขึ้นภายหลัง (Acquired Flat Feet)
ภาวะเท้าแบนที่เกิดขึ้นในช่วงวัยผู้ใหญ่ มักมีสาเหตุดังนี้:
การบาดเจ็บของเส้นเอ็น (เช่น Posterior Tibial Tendon Dysfunction)
- เส้นเอ็นที่ช่วยพยุงอุ้งเท้าเกิดการฉีกขาด อักเสบ หรือเสื่อม
- ทำให้อุ้งเท้ายุบลงเมื่อยืนหรือลงน้ำหนัก
- หากปล่อยไว้นาน อาจทำให้โครงสร้างเท้าบิดผิดรูปอย่างถาวร
น้ำหนักตัวมาก (Obesity)
- น้ำหนักเกินจะเพิ่มแรงกดบนฝ่าเท้า ทำให้อุ้งเท้ายุบลงตามแรงกดสะสมเรื้อรัง
ใช้รองเท้าไม่เหมาะสม
- การใส่รองเท้าแฟลตแบบไม่มีการรองรับฝ่าเท้า หรือรองเท้าที่ไม่มีแผ่นเสริมอุ้งเท้าเป็นเวลานาน ส่งผลให้ฝ่าเท้าแบนนานวันเข้า
โรคหรือภาวะทางระบบกล้ามเนื้อ-กระดูก
- เช่น โรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์ เบาหวาน ที่ส่งผลต่อเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อฝ่าเท้า
- หรือภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากโรคทางระบบประสาท
อายุที่มากขึ้น
- เมื่ออายุมากขึ้น เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อที่พยุงอุ้งเท้าเริ่มเสื่อมสภาพตามธรรมชาติ ทำให้โครงสร้างฝ่าเท้าเปลี่ยนแปลง
เช็กตัวเอง: คุณเสี่ยงเป็นคนเท้าแบนหรือไม่?
- มีคนในครอบครัวเป็นเท้าแบน
- เดินหรือยืนนานแล้วรู้สึกเมื่อยที่เท้า
- รองเท้าสึกด้านในมากผิดปกติ
- เคยบาดเจ็บข้อเท้า หรือมีโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อระบบกล้ามเนื้อ
แนวทางการรักษาอาการเท้าแบน (Flat Feet Treatment)
แม้ว่าอาการเท้าแบนจะดูเป็นปัญหาทั่วไป แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่ดูแล อาจส่งผลกระทบต่อข้อเท้า เข่า สะโพก หรือหลังได้ในระยะยาว ข่าวดีคือ — เท้าแบนสามารถบรรเทา ปรับปรุง และควบคุมได้ด้วยการรักษาที่เหมาะสม โดยเฉพาะถ้าเริ่มดูแลตั้งแต่ระยะแรกๆ
เป้าหมายหลักของการรักษาเท้าแบน:
- ลดอาการปวดและเมื่อยล้า
- ปรับโครงสร้างฝ่าเท้าและข้อเท้าให้เหมาะสม
- ป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น ปวดเข่าหรือหลัง
- เสริมความแข็งแรงและสมดุลในการเดิน วิ่ง และทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
1. การทำกายภาพบำบัด (Physical Therapy)
กายภาพบำบัดเป็นวิธีการที่ ปลอดภัย ไม่ต้องผ่าตัด และได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน โดยนักกายภาพบำบัดจะประเมินโครงสร้างฝ่าเท้า ท่าทางการเดิน การลงน้ำหนัก และวางแผนฟื้นฟูเฉพาะบุคคล
เทคนิคที่ใช้ในการทำกายภาพบำบัดเท้าแบน:
Stretching – การยืดกล้ามเนื้อ
- ยืดกล้ามเนื้อฝ่าเท้า น่อง และเอ็นร้อยหวายที่ตึงเกินไป
- ลดแรงดึงบริเวณข้อเท้าและเข่า
Strengthening – เสริมความแข็งแรงกล้ามเนื้อ
- เน้นฝึกกล้ามเนื้อ Tibialis Posterior ซึ่งช่วยพยุงอุ้งเท้า
- ฝึกกล้ามเนื้อฝ่าเท้าและกล้ามเนื้อรอบข้อเท้าให้ทำงานประสานกัน
Balance Training – ฝึกการทรงตัว
- ช่วยให้การเดินและลงน้ำหนักเป็นธรรมชาติ
- ลดการบาดเจ็บจาก Overpronation
Manual Therapy – การจัดกระดูกเท้าและข้อ
- ช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหว ลดการตึงตัวของข้อเท้า
ที่ Bettermove Clinic เรามีบริการกายภาพบำบัดเฉพาะทางสำหรับเท้าแบนโดยตรง พร้อมอุปกรณ์และเทคโนโลยีช่วยฟื้นฟูครบวงจร
2. การใช้อุปกรณ์เสริม (Orthotics & Insole)
การใส่อุปกรณ์เสริมหรือแผ่นรองอุ้งเท้า (Custom Insoles) ถือเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการของเท้าแบนได้ดี โดยเฉพาะผู้ที่ต้องยืนหรือเดินนานๆ
ประโยชน์ของการใช้ Insole:
- พยุงอุ้งเท้าให้โค้งตามธรรมชาติ
- ลดแรงกระแทกที่ส้นเท้าและข้อเข่า
- ปรับท่าทางการเดินให้สมดุล ลด Overpronation
คำแนะนำ: ควรใช้แผ่นรองอุ้งเท้าที่ออกแบบตามลักษณะเท้าของแต่ละบุคคล (Custom-Made) แทนการใช้ Insole สำเร็จรูป เพราะเท้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน
3. เทคโนโลยีกายภาพบำบัดสมัยใหม่
สำหรับผู้ที่มีอาการเรื้อรังหรือมีอาการอักเสบร่วม เทคโนโลยีทางกายภาพบำบัดช่วยเสริมผลการรักษาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น:
Focused Shockwave Therapy
- คลื่นกระแทกพลังงานสูงช่วยลดการอักเสบของเส้นเอ็นฝ่าเท้าและข้อเท้า
- กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
- เหมาะกับผู้ที่มีอาการเรื้อรัง เช่น ปวดส้นเท้า Plantar Fasciitis
Ultrasound Therapy
- ใช้คลื่นเสียงกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด บรรเทาอาการปวดเฉียบพลัน
- ช่วยให้กล้ามเนื้อฝ่าเท้าและข้อเท้าผ่อนคลาย
Dry Needling
- ปลดล็อกกล้ามเนื้อที่ตึงในฝ่าเท้า น่อง หรือกล้ามเนื้อที่ใช้ชดเชยจากโครงสร้างที่ผิดปกติ
- ลดอาการปวดจากการใช้งานมากเกินไป
ที่ Bettermove Clinic เราใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ร่วมกับกายภาพบำบัดเพื่อเร่งการฟื้นตัวและลดการพึ่งพายา
4. การดูแลเท้าแบนในเด็ก
ในเด็กเล็ก เท้าแบนอาจหายได้เองเมื่ออายุประมาณ 6–8 ปี แต่หากอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษานักกายภาพบำบัดเพื่อ:
- ประเมินโครงสร้างเท้า
- ฝึกกล้ามเนื้อผ่านกิจกรรม เช่น เดินบนทราย, เดินเท้าเปล่า, ฝึกทรงตัว
- ใช้อุปกรณ์เสริม เช่น Insole เฉพาะบุคคลเพื่อกระตุ้นการสร้างอุ้งเท้า
🧑⚕️ 5. การผ่าตัด (ในกรณีจำเป็น)
หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง เดินลำบาก หรือมีภาวะผิดรูปของข้อเท้าอย่างชัดเจน แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัด ซึ่งมีหลายเทคนิค เช่น:
- การเสริมเอ็นที่เสื่อมหรือขาด
- การจัดแนวกระดูกใหม่ (Osteotomy)
- การหลอมข้อเท้า (Fusion) ในกรณีที่มีข้อเสื่อมร่วม
อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดเป็นทางเลือกสุดท้าย ควรเริ่มต้นด้วยการรักษาแบบอนุรักษ์ (Conservative Treatment) ก่อนเสมอ
📝 สรุป: เท้าแบนรักษาได้ เริ่มจากความเข้าใจที่ถูกต้อง
อาการเท้าแบนไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่ดูแล อาจกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่กระทบกับคุณภาพชีวิตอย่างมาก การรักษาด้วยกายภาพบำบัด และการใช้อุปกรณ์เสริมที่เหมาะสมเป็นทางเลือกที่ดีและปลอดภัย โดยเฉพาะเมื่อทำร่วมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย
หากคุณมีอาการปวดฝ่าเท้า ข้อเท้า หรือรู้สึกเมื่อยง่ายขณะเดินหรือยืน อย่าลังเลที่จะ เข้ารับการประเมินจากนักกายภาพบำบัดที่ Bettermove Clinic เพื่อวางแผนการฟื้นฟูแบบเฉพาะบุคคลที่ปลอดภัยและได้ผลจริง
Q1: อาการเท้าแบนสามารถรักษาให้หายขาดได้ไหม?
A: อาการเท้าแบน ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในทุกกรณี โดยเฉพาะหากเป็นเท้าแบนแบบถาวร (Rigid Flat Feet) แต่สามารถควบคุมอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้ด้วยการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง การใส่รองเท้าหรือแผ่นรองที่เหมาะสม รวมถึงการออกกำลังกายเสริมความแข็งแรงของเท้า
✅ ในกรณีของเท้าแบนแบบยืดหยุ่น (Flexible Flat Feet) โดยเฉพาะในเด็ก หากได้รับการดูแลตั้งแต่ต้น มีโอกาสที่โครงสร้างฝ่าเท้าจะพัฒนาได้ดีขึ้นตามธรรมชาติ
Q2: เท้าแบนทำให้ปวดหลังหรือปวดเข่าได้จริงไหม?
A: จริงครับ! เท้าแบนอาจเป็นต้นเหตุของ อาการปวดหลัง ปวดเข่า หรือแม้แต่สะโพก ได้ เพราะโครงสร้างฝ่าเท้าที่ผิดปกติจะส่งผลต่อแนวการเดินและการทรงตัวของร่างกาย ทำให้เกิดแรงกดหรือแรงบิดที่ไม่เหมาะสมในจุดอื่นๆ
🧠 โดยเฉพาะอาการ “Overpronation” ที่พบในคนเท้าแบน จะทำให้ข้อเท้าม้วนเข้าด้านใน ส่งผลต่อแนวกระดูกขาขึ้นไปจนถึงหลัง
Q3: จะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นเท้าแบน?
A: คุณสามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้ง่ายๆ ด้วย วิธี “Wet Foot Test” ดังนี้:
- เปียกฝ่าเท้าให้ทั่ว
- ยืนบนกระดาษหรือพื้นผิวที่ดูรอยเท้าได้ชัด
- สังเกตรอยเท้าที่ปรากฏ:
- หากเห็นฝ่าเท้าเต็มแผ่น แสดงว่าอาจมีภาวะเท้าแบน
- ถ้ามีส่วนเว้าตรงกลางแสดงว่าอุ้งเท้าปกติ
🧑⚕️ แต่เพื่อความชัดเจน ควรเข้ารับการตรวจประเมินโดยนักกายภาพบำบัดหรือแพทย์เฉพาะทางเพื่อวิเคราะห์โครงสร้างเท้าอย่างละเอียด
Q4: เท้าแบนต้องผ่าตัดหรือไม่?
A: การผ่าตัดไม่ใช่แนวทางแรกในการรักษาเท้าแบนครับ โดยทั่วไปจะเริ่มด้วยการรักษาแบบอนุรักษ์ (Conservative Treatment) เช่น:
- กายภาพบำบัด
- การใช้อุปกรณ์เสริม Insole
- ปรับพฤติกรรม
❗ การผ่าตัดจะพิจารณาเฉพาะในกรณีที่:
- มีความผิดรูปของข้อเท้าหนักมาก
- รักษาด้วยวิธีอื่นไม่ดีขึ้น
- มีความเจ็บปวดรุนแรงต่อเนื่อง
- มีเส้นเอ็นฉีกขาดหรือเสื่อมถาวร
Q5: คนที่มีเท้าแบนออกกำลังกายได้ไหม?
A: ได้แน่นอนครับ! คนที่มีเท้าแบนสามารถออกกำลังกายได้ แต่ควรเลือกประเภทการออกกำลังกายที่เหมาะสม และใส่อุปกรณ์เสริมที่ช่วยพยุงเท้า เช่น:
- แผ่นรองอุ้งเท้า (Orthotics)
- รองเท้าสำหรับผู้มี Overpronation
แนะนำให้ออกกำลังกายที่ไม่เน้นแรงกระแทก เช่น ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน โยคะ หรือใช้เครื่อง Elliptical แทนการวิ่งบนพื้นแข็ง
Q6: รองเท้าที่เหมาะกับคนเท้าแบนคือแบบไหน?
A: รองเท้าที่เหมาะกับคนเท้าแบนควรมีคุณสมบัติดังนี้:
- มีแผ่นรองอุ้งเท้า (Arch Support)
- พื้นรองเท้านุ่มและดูดซับแรงกระแทกได้ดี
- พื้นรองเท้าด้านในเรียบ ไม่เอียง
- ไม่ควรใช้รองเท้าแตะหรือแฟลตที่ไม่มี Support
รองเท้าประเภท “Motion Control” หรือ “Stability Shoes” เหมาะกับคนที่มีภาวะเท้าแบนและ Overpronation
Q7: เด็กที่มีเท้าแบนควรพาไปหาหมอไหม?
A: ถ้าเด็กยังเล็ก (ต่ำกว่า 6 ปี) และไม่มีอาการปวดหรือการเคลื่อนไหวผิดปกติ อาจยังไม่จำเป็นต้องรักษา แต่หากเด็ก:
- เดินผิดรูป
- มีอาการปวดเมื่อเดินหรือวิ่ง
- อุ้งเท้าไม่พัฒนาแม้อายุมากกว่า 7–8 ปี
- ทรงตัวไม่ดีหรือหกล้มบ่อย
ควรพาไปประเมินโดยนักกายภาพบำบัดเด็กหรือแพทย์เฉพาะทาง เพื่อตรวจโครงสร้างและแนะนำวิธีดูแลพัฒนาอุ้งเท้าอย่างเหมาะสม
สนใจปรึกษาอาการกับนักกายภาพของเรา?
นัดหมายออนไลน์หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ เบทเทอร์มูฟคลินิก คลินิกกายภาพบำบัดใจกลางสาทร
- TEL: 0981671709
- LINE: https://lin.ee/A1kgZ0f
- Address: ชั้น17 อาคารสาทรธานี 2 N Sathon Rd, Silom, Bang Rak, Bangkok 10500



