อาการปวดขาหนีบ (Groin Pain) เป็นอาการที่พบได้บ่อยในทั้งผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหว เดิน หรือทำกิจวัตรประจำวัน บางครั้งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ลึกกว่านั้น เช่น กล้ามเนื้อฉีก เส้นประสาทอักเสบ หรือแม้แต่โรคเกี่ยวกับข้อสะโพก
บทความนี้ Bettermove Clinic จะพาคุณไปรู้จักกับ สาเหตุของอาการปวดขาหนีบ, สัญญาณอันตราย, รวมถึง แนวทางการรักษาทางกายภาพบำบัด ที่สามารถช่วยบรรเทาอาการและป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ
หัวข้อ
ขาหนีบคือส่วนไหนของร่างกาย?
ขาหนีบ (Groin) คือบริเวณที่ต้นขาเชื่อมต่อกับลำตัวด้านหน้า ใกล้บริเวณอวัยวะเพศ และโคนขา เป็นพื้นที่ที่มีกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น เส้นประสาท และข้อต่อหลายจุด จึงอ่อนไหวต่อการบาดเจ็บหรือการอักเสบได้ง่าย
อาการปวดขาหนีบเป็นอย่างไร?
อาการปวดขาหนีบอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่แท้จริง เช่น
- ปวดเฉียบพลันหรือปวดเรื้อรัง
- ปวดขณะเดิน วิ่ง หรือยกขา
- ปวดร้าวลงขา หรือปวดลึกในสะโพก
- มีเสียง “ป๊อก” หรือรู้สึกสะดุดบริเวณขาหนีบเมื่อเคลื่อนไหว
สาเหตุของอาการปวดขาหนีบ
1. กล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นขาหนีบฉีก
Groin Strain เกิดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง เช่น วิ่งเร็ว เล่นกีฬา หรือเคลื่อนไหวผิดท่า อาการมักพบในนักฟุตบอล นักวิ่ง และผู้ที่ออกกำลังกายหนัก
2. Office Syndrome ร้าวมาขาหนีบ
อาการกล้ามเนื้อลำตัวส่วนล่างตึงจากการนั่งนานเกินไป เช่น กล้ามเนื้อ Iliopsoas หรือ Quadratus Lumborum (QL) ซึ่งมักมีอาการปวดร้าวจากหลังส่วนล่างไปยังขาหนีบ
3. หมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท
ภาวะ Herniated Disc หรือหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทในระดับ L1-L3 อาจทำให้เกิดอาการปวดร้าวมาที่ขาหนีบร่วมกับต้นขาด้านหน้าได้
4. ข้อสะโพกเสื่อม หรืออักเสบ
อาการข้อสะโพกเสื่อมมักทำให้รู้สึกปวดลึกบริเวณขาหนีบ โดยเฉพาะเวลาขยับ หรือเดินนาน ๆ มักพบในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีน้ำหนักเกิน
5. อาการไส้เลื่อน (Inguinal Hernia)
ในผู้ชาย หากมีการปวดขาหนีบร่วมกับการมีก้อนยื่นออกมาขณะเบ่งหรือไอ อาจเกิดจากไส้เลื่อน ซึ่งควรพบแพทย์โดยด่วน
ปวดขาหนีบแบบไหนควรรีบพบแพทย์หรือกายภาพบำบัด?
สัญญาณที่ควรระวัง
- ปวดขาหนีบต่อเนื่องเกิน 1-2 สัปดาห์
- มีอาการชาร้าวไปถึงขา หรือรู้สึกอ่อนแรง
- ปวดจนรบกวนการนอนหรือทำงาน
- มีก้อนผิดปกติบริเวณขาหนีบ
- เคยมีประวัติบาดเจ็บจากกีฬา
การวินิจฉัยอาการปวดขาหนีบ
นักกายภาพบำบัดที่ Bettermove Clinic จะทำการประเมินโดยละเอียดผ่าน:
- การซักประวัติและกิจกรรมที่ทำเป็นประจำ
- การตรวจร่างกาย วิเคราะห์การเคลื่อนไหวของข้อสะโพก-หลัง
- ทดสอบพิเศษเพื่อแยกโรค เช่น Groin Strain Test, Hip FADIR Test
- หากจำเป็นอาจแนะนำให้ตรวจ MRI หรือ Ultrasound
วิธีรักษาอาการปวดขาหนีบแบบไม่ใช้ยา
1. กายภาพบำบัดเฉพาะจุด
- เทคนิค Manual Therapy ช่วยคลายกล้ามเนื้อรอบสะโพกและขาหนีบ
- การฝึกการเคลื่อนไหวและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลาง (Core Stability)
- การใช้ เทคนิคการยืดกล้ามเนื้อ อย่างถูกต้องเพื่อป้องกันอาการซ้ำ
2. Shockwave Therapy
เทคโนโลยีคลื่นกระแทกช่วยลดอาการอักเสบในจุดลึก เช่น กล้ามเนื้อ Iliopsoas หรือ Adductors และกระตุ้นการฟื้นตัวของกล้ามเนื้ออย่างมีประสิทธิภาพ
3. Dry Needling
ช่วยคลายจุดเกร็งของกล้ามเนื้อ (Trigger Points) บริเวณสะโพกและต้นขา ลดอาการปวดร้าวลงขาหนีบได้ในเคสที่กล้ามเนื้อลึกตึงเรื้อรัง
4. Ultrasound Therapy
คลื่นเสียงความถี่สูงช่วยเร่งการไหลเวียนเลือดและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ลดการอักเสบของเส้นเอ็นขาหนีบที่ใช้งานหนัก
การป้องกันอาการปวดขาหนีบไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ
- ฝึกกล้ามเนื้อแกนกลางให้แข็งแรง (Core Muscle Training)
- ยืดกล้ามเนื้อสะโพก-ต้นขาก่อนและหลังออกกำลังกาย
- หลีกเลี่ยงการนั่งท่าเดิมนานเกินไป
- ปรับเก้าอี้ โต๊ะทำงานให้อยู่ในท่าทางที่ถูกต้องตามหลัก Ergonomic

ทำไมต้องรักษาปวดขาหนีบกับ Bettermove Clinic?
- ✅ นักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ตรง
- ✅ ใช้อุปกรณ์ทันสมัย เช่น Shockwave, Ultrasound, Dry Needling
- ✅ วินิจฉัยตรงจุด เน้นหาสาเหตุจริง ไม่ใช่แค่รักษาอาการ
- ✅ แผนการฟื้นฟูเฉพาะบุคคล เหมาะกับนักกีฬา พนักงานออฟฟิศ และผู้สูงอายุ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการปวดขาหนีบ (FAQs)
ปวดขาหนีบเกิดจากอะไร?
ปวดขาหนีบอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น กล้ามเนื้อฉีก ข้อสะโพกอักเสบ เส้นประสาทถูกกดทับ หรือไส้เลื่อน ขึ้นอยู่กับลักษณะของอาการและกิจกรรมที่ทำ
ปวดขาหนีบเรื้อรังควรรักษาอย่างไร?
ควรเริ่มจากการวินิจฉัยโดยนักกายภาพบำบัด จากนั้นใช้เทคนิคที่เหมาะสม เช่น manual therapy, shockwave, dry needling และการออกกำลังกายเฉพาะจุด
การยืดกล้ามเนื้อช่วยบรรเทาอาการได้ไหม?
ช่วยได้ในหลายกรณี โดยเฉพาะเมื่ออาการเกิดจากความตึงของกล้ามเนื้อ แต่ควรยืดในท่าที่ถูกต้องและอยู่ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ
อาการปวดขาหนีบที่เกี่ยวกับหลังมีจริงหรือไม่?
มีจริง โดยเฉพาะในกรณีที่เส้นประสาทถูกกดจากหมอนรองกระดูกเคลื่อน อาการจะร้าวจากหลังส่วนล่างมายังขาหนีบและต้นขาด้านหน้า
ปวดขาหนีบหลังออกกำลังกายควรทำอย่างไร?
ควรพักทันที ประคบเย็นใน 48 ชั่วโมงแรก จากนั้นประเมินอาการ หากไม่ดีขึ้นควรปรึกษานักกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูให้ถูกวิธี
ต้องทำกายภาพกี่ครั้งถึงจะดีขึ้น?
ขึ้นอยู่กับและความรุนแรงของอาการ ส่วนมากอาการดีขึ้นใน 4–6 ครั้งเมื่อได้รับการรักษาที่ตรงจุดและมีการดูแลที่บ้านร่วมด้วย
ผู้หญิงสามารถมีอาการปวดขาหนีบได้หรือไม่?
ได้เช่นกัน โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีการออกกำลังกายหนัก ใช้ท่าทางผิด หรือมีปัญหาเกี่ยวกับอุ้งเชิงกรานหรือข้อสะโพก
กายภาพบำบัดช่วยป้องกันการผ่าตัดได้หรือไม่?
ในหลายกรณี การทำกายภาพบำบัดสามารถลดอาการได้จนไม่ต้องผ่าตัด โดยเฉพาะหากเริ่มการรักษาตั้งแต่ระยะแรก
อาการ ปวดขาหนีบ ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาที่ใหญ่กว่า หากคุณมีอาการปวดเรื้อรัง หรือมีอาการปวดที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การเข้ารับการวินิจฉัยและรักษาจากผู้เชี่ยวชาญ เช่นนักกายภาพบำบัดที่ Bettermove Clinic จะช่วยให้คุณหายจากอาการเร็วขึ้น ปลอดภัย และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำในระยะยาว
กายภาพบำบัด ย่านสาทร ย่านสีลม ติดต่อเรา
เบทเทอร์มูฟคลินิก คลินิกกายภาพบำบัดใจกลางสาทรและสีลม
- TEL: 0981671709
- LINE: https://lin.ee/A1kgZ0f
- Address: ชั้น17 อาคารสาทรธานี 2 N Sathon Rd, Silom, Bang Rak, Bangkok 10500



